วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อเล็กซ์..ซี๊ด..ด..ด..


เรื่องแฟชั่นอย่างที่เคยบอก..ไม่มีอะไรใหม่ เขียนไปเขียนมามันก็เรื่องเดิม จะตลาดบนสุดไปยันล่างสุด จะ"Fast Fashion"หรือ"Slow Fashion"มันก็มาอีหรอบเดียวกัน ไม่ใช่ว่าตัวเองก๊อปเขาอยู่เหยงๆ..ยังไปมีหน้า(ที่ไม่ค่อยจะบาง)ไปกัดชาวบ้านเขาอีก ใครๆอ่านแล้ว..คงว่าหมู่นี้เจ้าของบล็อคคงอารมณ์ไม่ดี อือ..ก็ใช่น่ะซิ แต่..ไม่ดีมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเป็น..5..5..5 แต่คราวนี้ไม่น่าทำกับ"Alexis Mabille"เลยน่ะ เพราะแกทำเสื้อน้อย แต่น่ะยุคนี้แล้ว..อย่างที่บอก..ย่ำยีกันเข้าไป การค้า..ไม่ได้ต้องการความเห็นใจ คนซื้อเสื้อเกาหลีก็อาจจะไม่รู้จัก"Alexis Mabille"ว่าเป็นใคร คนซื้อเสื้อ"Alexis Mabille"ก็อาจจะไม่รู้และไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่ามีของปลอม

Picture : Fashion Mag , Zipia

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Dolce & Gabbana : Prestige Magazine (Behind the Scene)

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลลนา : 1978


วันนี้อ่านบอร์ดอะไรซักอย่างนึง มีกระทู้ด่าร้านโซดา..แรกๆอ่านก็คิดว่า..น่ะยังไงก็ต้องมีเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว พออ่านไปเรื่อยๆชัก..เอ๊ะ..น่าจะเป็นกระทู้ที่โดนเขียนขึ้นมาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของร้านโซดา เพราะแลดูเหมือนคนคนเดียวกันเขียนทุกรีพลาย สำนวน10รีพลาย..แบบว่าเหมือนกันเป๊ะๆ อืม..ม..นี่แหละยุคแห่งเทคโนโลยี่ ใครอยากย่ำยีอะไรกัน เชิญตามสบาย ดิฉันเป็นลูกค้าร้านโซดาตั้งแต่เปิดแรกๆ มาจนถึงเดี๋ยวนี้..ไม่เคยโดนเรื่องแบบที่ในบอร์ดนั้นเขียนมาก่อน แต่น่ะ..มาถึงยุคนี้แล้ว ต้องทำใจ รูปที่เอามาลงนี้น่าจะบ่งบอกถึงเสื้อผ้าโซดาในยุคแรกๆได้ ตอนปี1978น่าจะยังไม่ได้เปิดร้าน น่าจะฝากขายส่วนที่ไหนจำไม่ได้แล้ว

Picture : แมวเหมียว

Jean-Charles de Castelbajac : Haute Couture Fall/Winter 2000-2001


เขียนบทความค้างไว้ไม่เสร็จตั้งหลายเรื่อง แล้วยังจะมานั่งรื้อบ้านอีก..หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ แต่นี่ถ้าไม่รื้อบ้าน..คงลืมคอเลคชั่นนี้ไปแล้ว จนป่านนี้ความจำยังไม่คืนมาเลยว่า"Jean-Charles de Castelbajac"มี"Haute Couture" แต่จำได้ลางๆ..ว่าเหมือนเคยเขียนลงไปใน"Thaicatwalk"เมื่อหลายปีมาแล้ว


Picture : Jalou Gallery

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รู้ไว้ใช่ว่า : ตารางแฟชั่นวีค 2012 ครึ่งปีแรก


*อัพเดทแล้วค่ะ* ปีหน้าระทึกใจแน่ๆกับการกลับมาทำโชว์"Haute Couture"ของ"Versace" หลังจากที่ห่างหายไปหลายปี(ครั้งสุดท้ายที่มีโชว์คือปี2004) แล้วไหนจะ..ข่าวการกลับมาทำ"Christian Dior"ของ"John Galliano"และถึงแม้จะเป็นแค่ข่าวลือ..กับ"Tom Ford"ที่จะมาทำ"Louis Vuitton" แต่ถ้าเป็นจริงน่าจะสวยและลงตัว ว่าแต่ถ้าเป็นไปตามข่าวลือ.."Marc Jacobs"หายไปไหนค่ะ?

Details : Modem Online

Dolce & Gabbana : Prestige Magazine


หนังสือ"Prestige"(ฉบับฮ่องกง)กับบทสัมภาษณ์ของ"Dolce & Gabbana" ที่ตอนนี้มาทำตลาดยิกๆอยู่ในเอเซีย(ไม่รวมไทย..5..5..5) นี่..ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเล่มที่สอง เพราะเล่มแรกเป็นเมื่อเดือนกรกฎาปีนี้เป็น"Men's Uno"(ฉบับของฮ่องกงเหมือนกัน) นี่เห็นมีไปจัดงานที่เกาหลีด้วย..แว๊บๆ


Picture : Swide , Prestige

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Spring/Summer 2012 : Seoul Fashion Week "RAD by Rad Hourani"


ไปเกาหลีคราวนี้ดูโชว์ไม่ทันหลายโชว์ ก็เขาให้วันสำหรับสื่อน้อยลง..เราก็ต้องเลือกโชว์ที่สำคัญไว้ หนึ่งในโชว์ที่อยากดูแต่ไม่ได้ดูคือ"RAD by Rad Hourani" ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของดีไซน์เนอร์รับเชิญของซีซั่นนี้ จริงๆดิฉันก็ไม่ค่อยชอบงานของ"Rad Hourani"เท่าไหร่น่ะ เพราะว่า..ดูเหมือนเอางานดีไซน์เนอร์หลายๆคนมารวมกัน แต่อยากดูของจริงเท่านั้นเอง แล้วที่พิลึกคือนอกจากพลาดดูโชว์จริงแล้ว ทางโซลยังตัดภาพโชว์ของ"RAD by Rad Hourani"ทิ้งทั้งหมดด้วย หมายความว่าทั้งภาพและวิดีโอโดนลบออกไปจากเวปอย่างเป็นทางการของ"Seoul Fashion Week"..? นั่นดิฉันคงไม่รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางได้ ส่วนภาพบางภาพที่เห็นในบทความนี้นั้น ดิฉันโหลดไว้ตั้งแต่ตอนงานจบใหม่ๆ ตอนนี้..โดนลบไปหมดแล้ว


ดิฉันเลยไปเอาภาพโชว์เฉพาะของเสื้อผ้าผู้ชายของ"RAD by Rad Hourani"มาจากเวปอื่นมาเติม แต่ก็ไม่แน่ใจว่าครบทั้งโชว์รึปล่าว จะคิดมากอะไรไปทำไมเนี่ย..5..5..5 เอาว่าประมาณนี้แล้วกันค่ะ


ลลนา : 1982

หญิงไทย โบกธง

อาภรณ์ไพร่ ไทยวิวัฒน์

สำหรับบุคคลทั่วไปในสังคมอย่างเราท่านทั้งหลายนั้น เมื่อพูดถึงเสื้อผ้าอาภรณ์หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียเหลือเกิน บางคนอาจถึงกับพูดตัดบทว่า “ฉันจะสนใจไปทำไมในเมื่อเสื้อผ้าเป็นแค่เครื่องห่อคลุมร่างกายเท่านั้น” แต่หากลองวิเคราะห์ดู คำถามชวนขบคิดมากมายอาจผุดขึ้นในใจ เป็นต้นว่า กางเกงที่เราใส่ เสื้อที่เราสวมคืออะไร บ่งบอกอะไร มาจากไหน และทำไมเราจึงชอบใส่อย่างนี้ ไม่ชอบใส่อย่างนั้น

“ถ้าไม่มีอดีตก็ไม่มีปัจจุบัน”แน่นอนว่าสังคมไทยในแต่ละยุคสมัยมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ มีหลักฐานมากมายทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร สิ่งปลูกสร้าง และวิถีชีวิต ให้สืบเสาะค้นหา ในบรรดาหลักฐานทางวัฒนธรรม เสื้อผ้าอาภรณ์คือบทบันทึกหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าถึงอัตลักษณ์หรือตัวตนของกลุ่มชนอย่างแยบคาย

ในสังคมไทยยุคสมัยที่นำความเปลี่ยนแปลงเรื่องการแต่งกายมาสู่ไพร่ฟ้าคนธรรมดาสามัญมากที่สุด คงหนีไม่พ้นยุคของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม (แปลก พิบูลสงคราม) นายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2481-2487) ผู้นำในยุคที่เรียกกันว่า “รัฐนิยม”

หนังสือ"ไทยใหม่วันจันทร์" พ.ศ. 2483

มาลานำไทย

จอมพล ป. พิบูลสงครามมีนโยบายหลักหรือวิสัยทัศน์ที่สำคัญคือ การนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนา และเป็นอารยะ ประเทศไทยในยุคนั้นจึงเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างขนานใหญ่ ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจาก”สยาม” มาเป็น “ไทย” และรวมไปถึงเรื่องการแต่งกายของชนชั้นธรรมดาสามัญ ให้ผิดแผกไปจากวิถีดั้งเดิมที่ผู้ชายไม่สวมเสื้อ ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบน ห่มสไบ เปลี่ยนมาสวมเสื้อ ใส่กางเกง รองเท้า หรือแม้กระทั่งสวมหมวก เป็นนโยบายสำคัญในการสร้างชาติด้วยลัทธิชาตินิยม โดยมีเป้าหมายเพื่อปลูกฝังให้ประชาชนชาวไทยเป็นผู้มี “วัธนธัมดี มีศิลธัมดี มีอนามัยดี มีการแต่งกายเรียบร้อย มีที่พักอาศัยดี และมีที่ทำมาหากินดี"

อเนก นาวิกมูล นักเขียนสารคดี และนักประวัติศาสตร์ กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ผมคิดว่าดีนะที่เปลี่ยนแปลงไป เราแต่งตัวกันดีขึ้น จากที่เคยนุ่งโสร่ง นุ่งผ้าขาวม้า ซึ่งดูไม่ค่อยเป็นระเบียบ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนค่อนข้างใหญ่ และส่งผลจนมาถึงปัจจุบัน อย่างที่เราแต่งตัวกันอยู่ทุกวันนี้”

ในรัฐนิยมฉบับที่ 10 ลงวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2489 เรื่อง “เครื่องแต่งกายของประชาชนชาวไทย” สรุปความรวมกับประกาศอื่นๆที่ออกไล่เลี่ยกันสรุปได้ใจความว่า ชาวไทยควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยเมื่อปรากฏตัวในที่ชุมนุมชน หรือสาธารณชน แล้วแยกประเภทเครื่องแต่งกายที่ถือว่าเรียบร้อย โดยกำหนดการแต่งกายและทรงผมแบบใหม่ ขอให้สตรีทุกคนไว้ผมยาว เลิกใช้ผ้าโจงกระเบนเปลี่ยนเป็นนุ่งผ้าถุง เลิกการใช้ผ้าผืนเดียวคาดอกหรือเปลือยกายท่อนบน ให้ใส่เสื้อแทน เป็นต้น ส่วนผู้ชายนั้นขอให้เลิกนุ่งกางเกงแพรสีต่างๆ หรือนุ่งผ้าม่วง เปลี่ยนมาเป็นนุ่งกางเกงขายาว กระทรวงทบวงกรมต่างๆ วางระเบียบเครื่องแต่งกายของข้าราชการในเวลาทำงานปกติและทั่วไปเพื่อให้เป็นแบบอย่างอันดีสำหรับประชาชน ในเวลาทำงานปกติข้าราชการหญิงต้องใส่เสื้อขาวนุ่งกระโปรงสีสุภาพ หรือผ้าถุง และสวมรองเท้าหุ้มส้น ถุงเท้าสั้นหรือยาว และต้องสวมหมวก สีของเครื่องแต่งกายนั้นถ้าเป็นงานกลางแจ้งควรใช้สีเทา ถ้าเป็นงานในร่มหรือเกี่ยวกับเครื่องจักร ควรใช้สีน้ำเงินเข้ม

รัฐบาลในยุคนั้นได้จัดตั้งสถาบัน และคณะกรรมการวางระเบียบเครื่องแต่งกายสตรี ทั้งที่เป็นข้าราชการและที่มีตำแหน่งเฝ้า ต่อมาได้มีการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ มีสาขาคือสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง มีหน้าที่อย่างหนึ่งคือพิจารณาเครื่องแต่งกายในโอกาสต่างๆ และกำหนดเครื่องแต่งกายผู้ประกอบอาชีพบางจำพวก เช่น คนขายอาหาร พนักงานเสิร์ฟ ช่างตัดผม มีการวางระเบียบปฏิบัติตลอดจนให้ความหมายของเครื่องแต่งกายชนิดต่างๆอย่างละเอียด

การใส่หมวกของสตรีเป็นเรื่องหนึ่งที่รัฐให้ความสำคัญมาก ถึงกับมีคำขวัญว่า “มาลานำชาติไทย” มีการแบ่งหมวกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือประเภททั่วไปและประเภทพิเศษ ประเภททั่วไปได้แก่หมวกที่ใช้ในการทำงานในชีวิตประจำวัน สวมใส่เพื่อความสุภาพเรียบร้อยสมกับประเพณีนิยม และเพื่อประโยชน์ในการกันแดด กันฝน กันน้ำค้าง มักเป็นหมวกที่มีลักษณะเรียบ ปีกเล็ก หรือไม่มีปีก สีสันไม่ฉูดฉาด สำหรับหมวกประเภทพิเศษ หมายถึงหมวกที่ใช้เป็นอาภรณ์ประดับเพิ่มความงาม มีการประดับด้วยอาภรณ์ต่างๆ ใช้ในโอกาสพิเศษ

การแต่งกายของชายไทยนั้น นิยมแต่งแบบสากล ประกอบด้วยหมวก เสื้อชั้นนอกคอเปิดหรือคอปิด ถ้าเป็นคอเปิดต้องใส่เสื้อชั้นใน คอปกมีผ้าผูกคอเงื่อนกลาสีหรือเงื่อนหูกระต่าย กางเกงขายาวแบบสากลสวมรองเท้าถุงเท้า นอกจากกางเกงขายาวที่สวมปกติแล้ว ชายนิยมนุ่งกางเกงที่เรียกว่า “กางเกงขาสั้นแบบไทย” คือกางเกงที่นักเรียนใช้หรือนิยมใส่เล่นกีฬา เป็นกางเกงขาสั้นเพียงแค่เข่า หรือใต้เข่าประมาณหนึ่งฝ่ามือ ถือว่าเป็นกางเกงสุภาพใช้ใส่ลำลอง หรือไปสโมสรก็ได้ เป็นที่นิยมมากในระหว่างน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อ ปี พ.ศ. 2485

การปฏิวัติวัฒนธรรมการแต่งกายนี้เกิดขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยรัฐพยายามให้มีการปฏิบัติตามระเบียบการแต่งกายแบบใหม่อย่างทั่วถึง มีการเผยแพร่คำขวัญที่ว่า “สวมหมวก ไว้ผมยาว นุ่งถุง สวมเสื้อ สวมถุงเท้าหุ้มส้นหรือรัดส้น” โดยให้เหตุผลว่านุ่งผ้าถุงประหยัดมากกว่าการนุ่งโจงกระเบน

เอนกให้ความเห็นว่า “นี่เป็นยุคเปลี่ยนแปลงการแต่งตัวของไพร่ ส่วนเรื่องแฟชั่นหรือเทรนด์ในยุคนั้นเป็นเรื่องในรั้วในวัง เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ในวังหรือคนกลุ่มน้อยก็มักเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงเสมอ การแต่งตัวของคนแต่ละยุคสมัย บอกอะไรๆในสังคม ณ ช่วงเวลานั้นๆได้อยู่แล้ว

“แต่มันไม่ได้บอกทางตรง แต่จะเป็นเครื่องสังเกตต่างหาก ว่าช่วงไหนยุคไหนเป็นอย่างไร มีกินมีใช้ไหม ส่วนรัฐนิยมนั้นเป็นการชักชวนกึ่งบังคับ ไม่ได้ออกเป็นกฎหมาย แต่ที่โดนจับไปก็มี แต่จะเป็นการตักเตือนมากกว่า และไม่อำนวยความสะดวกให้ เวลาไปติดต่อราชการ เช่นไปขึ้นอำเภอ แต่ผมเชื่อว่าจอมพล ป. ทำไปด้วยความหวังดี แล้วก็ทำให้อะไรๆดีขึ้น ผมว่าดีกว่าถอดเสื้อ แต่เดี๋ยวนี้ถอดเสื้อกันเยอะแยะ”

แต่เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนั้น คือการปรับตัวให้รอดพ้นจากภาวะสงคราม ทำให้ไทยต้องเร่งฟื้นฟูประเทศอย่างเร่งด่วน เพื่อให้มหาอำนาจทั้งหลายมองไทยว่าเป็นอารยะ ทั้งที่ขัดกับสภาพอากาศและลักษณะนิสัยของคนไทย ซึ่งเป็นเมืองร้อน ผู้คนไม่รีบเร่ง และนับแต่นั้นเป็นต้นมา “โลกว่าอารยะ” ก็ถาโถมเข้าสู่ไพร่ฟ้าประชาไทย

ปฎิทินของ"เดลิเมล์ วันจันทร์" พ.ศ. 2494

นุ่งห่มรสนิยม

พอชาวเราเริ่มเดินออกจากผ้าขาวม้า โจงกระเบน และผ้าแถบแล้ว การแต่งตัวของชาวบ้านร้านตลาดก็เริ่มเบี่ยงเบนไปจากการตอบสนองหรือรับใช้ความจำเป็นและรับใช้ชาติ ไปสู่การรับใช้ค่านิยมแห่งปัจเจกบุคคลพร้อมๆกับที่มายาภาพและรสนิยมต่างๆได้ก่อกำเนิดขึ้น ทั้งที่ได้แรงบันดาลใจจากรูปแบบการใช้ชีวิต เพลง และภาพยนตร์จากประเทศมหาอำนาจ เป็นยุคที่เปลี่ยนผ่านจาก รัฐนิยมมาเป็นการแต่งกายแบบสากลนิยม การแต่งกายของสตรี ราวปี พ.ศ.2490 เป็นต้นมา มีแฟชั่นกระโปรงนิวลุค ซึ่งต่อมาก็พัฒนาไปสู่กระโปรงสั้น ซึ่งมีทั้งแบบสั้นแค่เข่าและเหนือเข่าที่เรียกกันว่า มินิสเกิร์ตและไมโครสเกิร์ต ต่อมามีกระโปรงชุดติดกันทรงเอไลน์ (A-Line) ตามมาด้วย ชายกระโปรงยาวครึ่งน่องเรียกว่า ชุดมิดี้ ถ้ายาวถึงกรอมเท้าเรียกว่าชุด แมกซี่

สำหรับแฟชั่นกางเกง ที่กล่าวขวัญและสะดุดตามากก็คือทรงฮอตแพนต์ ซึ่งเป็นกางเกงขาสั้นถึงสั้นมาก ใช้ได้ทุกโอกาสความนิยมในกางเกงมีมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากสะดวกและกะทัดรัดกว่ากระโปรง ราวปี พ.ศ. 2525 เป็นยุคของกางเกงทรงจีบพองหรือรูดรอบๆ เอว ยาวแค่เข่าหรือข้อเท้า รองเท้าเปลี่ยนไปตามแฟชั่นเสื้อผ้า เช่น กระโปรงนิวลุคสวมกับรองเท้าหัวแหลมทั้งส้นเตี้ย และส้นสูง ส้นเล็กแบบส้นเข็ม ข้อสังเกตคือ เมื่อใดชายกระโปรงยาว ส้นรองเท้าจะเรียวเล็กลง ถ้าชายกระโปรงสั้นขึ้น รองเท้าจะมีส้นเตี้ยและใหญ่

การแต่งกายของบุรุษนั้นยึดแนวตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแต่ก็ไม่โลดโผนเหมือนสตรี เช่น เสื้อนิยมปกใหญ่ขึ้น พอเบื่อก็เปลี่ยนเป็นปกเล็ก เนคไทเปลี่ยนขนาดจากใหญ่เป็นกลาง และเล็กตามสมัยนิยม มีหลายรูปแบบ ส่วนกางเกงนิยมทรงหลวมมีจีบบ้าง เรียบบ้าง อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้เครื่องแต่งกายสากลบางแบบไม่เหมาะกับดินฟ้าอากาศและสภาพแวดล้อมของเมืองไทย แต่ก็อาจถูกกับรสนิยมของผู้สวมใส่และค่านิยมของสังคม

บทความ :  นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก โดย ศิริโชค เลิศยะโส เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 , ภาพ : เอนก นาวิกมูล

หมายเหตุ : ดิฉันหาบทความฉบับเต็มและภาพประกอบที่น่าจะตรงกับเนื้อเรื่องอยู่นาน คงได้แค่ประมาณนี้ เพราะที่หอสมุดแห่งชาติก็ไม่มีหนังสือ"เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก"ฉบับนี้(ถามจิง..?) โดยเฉพาะภาพถ่ายที่ตรงกับยุคสมัยและชัดเจน ยิ่งหายากไปกันใหญ่ แล้วนี่อ่ะน่ะ..จะเป็นเมืองแฟชั่นกัน?

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

น้ำท่วม พ.ศ. 2460

พระราชวังของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ (สนามกีฬาแห่งชาติ ปัจจุบัน) พ.ศ. 2460


บทความและภาพถ่ายทั้งหมดจาก : เรื่องเก่า ภาพเก่า โดย เอนก นาวิกมูล พ.ศ. 2546

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Goudemalion : Jean-Paul Goude une rétrospective


หนึ่งในศิลปินที่มีผลงานสร้างสรรประดับวงการแฟชั่นฝรั่งเศสมานานหลายสิบปี และยังเป็นผู้ที่โดนก๊อปปปี้ผลงานไปแอบอ้างว่าเป็นความคิดของตัวเองมากที่สุดคนนึง "Jean-Paul Goude"คืออดีตสามีของ"Grace Jones"ที่แทบจะแยกกันไม่ออกแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว จนงานนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นงานนิทรรศการของ"Grace Jones"อย่างไม่เป็นทางการได้เลยทีเดียว


เพราะผลงานชิ้นเอกหลายชิ้นของ"Jean-Paul Goude"ถึงไม่ได้ใช้"Grace Jones"เป็นตัวแสดงแบบโดยตรง ก็ได้รับแรงบันดาลใจหรือสื่อถึง"Grace Jones"ในแบบตรงไปตรงมา ผลงานหลายชิ้นส่งผลถึงดีไซน์เนอร์ชื่อดังหลายคนในยุคต่อมา ไม่ว่าจะเป็น"Tom Ford"หรือ"Alexander McQueen"


งาน"Goudemalion : Jean-Paul Goude une rétrospective"จัดขึ้นที่"Les Arts Décoratifs"กรุงปารีส,ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2554ไปจนถึงวันที่ 18 มีนาคม 2555 งานนี้ตามธรรมเนียมมีหนังสือชื่อเดียวกับงานออกมาขาย ความหนาอยู่ที่ 432 หน้าราคาอยู่ที่ประมาณ 1,659 บาท


Picture & Details : WWD , Les Arts Décoratifs

น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา


ป.ล. คนซ้ายชื่อนางวิมาลา คนขวาชื่อตะเภาทอง

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Army of Prada


กองทัพ"Fall/Winter 2011-2012"หน้าร้าน"Prada"ที่โตเกียว

Picture : WWD

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กระโปรงชาย

Theatre (Bangkok) , Caruso (Seoul) , Phenomenon (Tokyo)

อย่าเครียดกันเรื่องน้ำท่วม..เพราะเครียดไปน้ำก็ไม่ได้ลด..ผู้ว่าและนายกก็ยังเป็นคนเดิม..5..5..5 เรามาดูแฟชั่นกันดีกว่า บางทีการได้ดูได้เห็นแฟชั่นเยอะๆก็เป็นเหมือนดาบสองคม ทั้งแทงออกไป..และแทงกลับเข้ามา..5..5..5 ซีซั่นนี้มีเทรนด์..เทรนด์ผู้ชาย..ที่ผู้ชายแท้ๆที่ไหน..ก็ไม่สามารถทำใจใส่ได้..5..5..5 นั่นคือกระโปรง แค่คำว่ากระโปรงผู้ชายก็เบือนหน้าหนีแล้ว.."ว๊าย..ย..อะไร้ย..อ่ะ..รับไม่ได้"(นั่นคือเสียงผู้ชายที่ว่า) ในสามเมืองที่ได้เห็นมาโซลดูจะรักกระโปรงชายมากกว่าใครในสามเมือง เพราะมีตั้งแต่กระโปรงแท้,กระเปรง(ศัพท์คำนี้สมัยนี้ไม่ค่อยมีคนเขียนแล้วเนอะ)หรือกางเกงกึ่งกระโปรง ไปจนถึงเสื้อตัวยาวหรือแจ็คเก็ตตัวยาวที่ดูคล้ายกระโปรง

Seoul Fashion Week : Irony Porn(o) , Ground Wave , Vandalist by Vandal

V MAN : Winter 2011 / Spring 2012


"V MAN"เล่มนี้ตอนที่ไปเกาหลีมีวางขายแล้ว แต่เราก็แหม..รักชาติ ไม่อยากให้เงินทองรั่วไหลไปปนกับน้ำเน่าที่ทะลักเข้ามาท่วมกรุง เลย..รอกลับไปซื้อที่"กรุงเทพเมืองน้ำเน่า"แล้วกัน..5..5..5 แล้ว..จนป่านฉะนี้..เล่มนี้ก็ยังไม่มีวางขาย อืม..ม..เศร้ายิ่งกว่าน้ำท่วม เล่มนี้ของ"V MAN"เน้นไปที่ยุคสมัยของแฟชั่น โดยนำเอาเสื้อผ้าของ"Spring/Summer 2012"ที่เพิ่งเดินจบไป มาจัดให้เป็นยุคสมัยต่างๆตามความเป็นไปได้ ซึ่งดิฉันดูแล้วว่าสวยดี..อยากได้เก็บไว้ซักเล่ม


Picture : V MAN